บทที่ 5

พอหญิงสาวใส่ยาพันแผลให้กับชายคนนั้นเสร็จ นางก็พยุงตัวเขา เดินไปยังใต้ต้นไม้ที่อยู่ด้านข้างเพื่อให้เขาได้พักฟื้น

ราวกับว่านางตัดสินใจแล้ว ทันใดนั้นนางก็คุกเข่าลงและโขกศีรษะให้มู่จื่อเหยี่ยน "เมื่อครู่ข้าโกหก เขาไม่ใช่องค์รักษ์ส่วนตัวของข้า แต่เขาเป็นว่าที่สามีในอนาคตที่ข้าเลือกไว้"

มู่จื่อเหยี่ยนไม่แปลกใจ นางมองปราดเดียวก็รู้ว่าหญิงสาวมีความห่วงใยให้กับชายคนนั้นมากเกินปกติ ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ดูแล้วไม่ธรรมดา

"ข้าแม้เกิดในจวนหนิงหยวนโหว แต่มารดาเสียชีวิตไปตั้งแต่ข้ายังเด็ก จวนหนิงหยวนโหวไม่มีผู้ใดใยดีข้า ข้ายังต้องแบกรับคำครหาที่น่าเหลือเชื่อนั้นอีก ทำให้มีชื่อเสียงทางด้านลบ ถูกส่งตัวไปยังหมู่บ้านชนบท ยังดีที่ได้พี่ฉินหลางค่อยปกป้อง ถึงได้มีชีวิตที่อยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้

“ชีวิตนี้ของข้า ได้ตกลงปลงใจว่าจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเขาเดิมทีคิดจะใช้ชีวิตคู่กับพี่ฉินหลางอย่างเรียบง่าย จู่ ๆ บิดารีบเรียกตัวข้ากลับมา ข้าจึงได้รู้ว่าตอนข้ายังเล็ก ทางบ้านได้จัดหาคู่เอาไว้ให้ตั้งนานแล้ว”

หญิงสาวคร่ำครวญด้วยสีหน้าโศกเศร้า "ข้าในตอนนี้มีคนในใจแล้ว ไม่ต้องการแต่งให้กับผู้อื่น คิดอยากจะพาพี่ฉินหลางกลับไปในเมืองหลวง ให้บิดายอมรับเรื่องงานแต่งของพวกเรา แต่อี๋เหนียงจิตใจอำมหิต ใช้เงินจำนวนมากจ้างคนมาสังหารข้าระหว่างทาง ทำให้พี่ฉินหลางได้รับบาดเจ็บ

มู่จื่อเหยี่ยนถามกลับด้วยสีหน้ากึ่งยิ้ม “เหตุใดเจ้าถึงบอกเรื่องนี้กับข้าล่ะ?”

“ข้าแค่อยากจะขอให้แม่นางช่วยข้าเสียหน่อย อย่าเอาเรื่องที่เจอกับข้าในวันนี้ไปบอกใคร”

"เจ้าคิดจะหนีตามเขาไปหรือ? นี่จะเป็นการทำลายชื่อเสียงฝั่งตระกูลของฝ่ายหญิง" มู่จื่อเหยี่ยนเตือนนางด้วยความหวังดี

"หากเลือกกลับไปเมืองหลวง สถานที่อันตรายเช่นนั้นพวกเราสองคนคงจะรักษาชีวิตได้ยาก” หญิงสาวยิ้มขื่นพูดว่า “บิดาของข้ามีชื่อเสียงในเรื่องรักใคร่ภรรยาเอกและทำลายล้างอนุภรรยา อี๋เหนียงจิตใจอำมหิตถึงเพียงนั้น ในจวนยังมีบุตรสาวสายรองอีกมากมาย"

"ด้วยความสามารถของข้า ไม่สามารถต่อกรกับพวกเขาได้ หากข้าตายขึ้นมาก็คงตายแบบหาสาเหตุไม่พบ ความปรารถนาเดียวของข้าคือใช้ชีวิตจนแก่เฒ่าไปพร้อมกับพี่ฉินหลาง"

มู่จื่อเหยี่ยนมองออก สิ่งที่คนตรงหน้าบอกกล่าวคือความจริง

นางกลับไปเมืองหลวงครานี้ อย่างแรกเพื่อหายามารักษาโรคของหยางหยาง และอย่างที่สองเพื่อตามหาลูกอีกคนของนาง

เขาถือว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง ไม่ได้เจอหน้ามาเจ็ดปีแล้ว นางคิดถึงเด็กคนนั้นอย่างสุดหัวใจ!

เมืองหลวงเป็นดินแดนของฮ่องเต้ และยังเป็นอาณาเขตของหนานกงรุ่ยหยวน อันตรายรอบด้านต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ

ไม่สามารถใช้ตัวตนเดิมของ "มู่จื่อเหยี่ยน" ได้อีกต่อไป และนางต้องเข้าเมืองหลวงด้วยฐานะอื่น

คุณหนูสามของจวนหนิงหยวนโหวที่อยู่ตรงหน้า ตัวตนเช่นนี้สามารถนำมาใช้อย่างเปิดเผยและอิสระไม่ใช่หรือ?

“เจ้าเต็มใจที่จะสละชื่อเสียงเงินทองทั้งหมด เพื่อหนีไปกับเขาจริงหรือ?” มู่จื่อเหยี่ยนถามย้ำอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ

“ข้าตัดสินใจดีแล้ว” ท่าทีของนางหนักแน่นอย่างมาก

พอฟังคำนี้จบ มู่จื่อเหยี่ยนรู้สึกโล่งใจ "ได้ ข้าจะช่วยเจ้า แต่มีข้อแม้ เจ้าจะต้องจำไว้ให้ขึ้นใจ"

หญิงสาวมองนางด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง

“ข้าจะเป็นตัวแทนของเจ้ากลับไปยังจวนหนิงหยวนโหวจะช่วยเจ้าจัดการกับญาติสุนัขจิ้กจอกเจ้าเล่ห์พวกนั้น แต่นับจากวันนี้ไป เจ้าจะไม่ใช่คุณหนูผู้สูงศักดิ์อีกต่อไป เจ้าจะกลายเป็นเพียงคนสามัญธรรมดา เรื่องนี้เจ้ายอมรับได้หรือไม่”

“แน่นอน” หญิงสาวพยักหน้าติดกันถี ๆ

พูดให้น่าฟังนางคือบุตราสาวสายหลักแห่งจวนโหว แต่ในชีวิตจริงนางกลับโดนทอดทิ้ง ไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากทางบ้าน นางไม่เห็นจวนหนิงหยวนโหวเป็นบ้านของนางตั้งนานแล้ว

หญิงสาวคนนั้นพูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล "ข้ากับเจ้ามีหน้าตาต่างกันมาก เจ้าจะมาแทนที่ข้าได้อย่างไรกัน"

นางปล่อยเรือนผมยาวสลวยลง เผยให้เห็นปานสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือบริเวณตรงพวงแก้ม

เนื่องจากว่านางมีปานนี้บนใบหน้าตั้งแต่เกิด นางจึงถูกตราหน้าว่าเป็นคนร้ายที่มีดวงชะตาข่มบิดามารดา

“เจ้าอย่าได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าเปลี่ยนแปลงใบหน้าคนได้” มู่จื่อเหยี่ยนสังเกตลักษณะปานบนใบหน้าของนางอย่างละเอียด โดยเฉพาะรูปร่างของปาน

“หลังจากนี้ไปหากเจ้าไม่เปิดเผยตัวตน จะไม่มีใครจากจวนหนิงหยวนโหวมารังควานเจ้าได้ เจ้าสามารถมีชีวิตอย่างที่เจ้าต้องการได้”

สามารถอยู่กับพี่ฉินหลางจนแก่เฒ่า เป็นสิ่งที่หญิงสาวใฝ่ฝันมาตลอด

วันนี้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องจริงแล้ว นางน้ำตาไหลด้วยความปิติ คุกเข่าลงกับพื้นและโขกศีรษะซ้ำ ๆ "ขอบคุณแม่นางที่ช่วยชีวิตข้า!"

“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า” มู่จื่อเหยี่ยนรีบรั้งตัวนางไว้ “เพราะตัวข้าเองก็มีความจำเป็นต้องอาศัยตัวตนของเจ้าเช่นกัน”

หญิงสาวรีบล้วงจี้หยกและจดหมายแสดงฐานะออกมา มอบทั้งหมดนี้ให้กับมู่จื่อเหยี่ยน นางเผยสีหน้าอย่างมีความสุข ประคองชายคนนั้นเดินจากไป

มู่จื่อเหยี่ยนมองคนทั้งสองที่ประคองเดินจากไปพร้อมกันจนลับสายตา จากนั้นจึงพูดกับพงหญ้าข้าง ๆ นางว่า "มองพอหรือยัง?"

ในพงหญ้าไม่มีเสียงตอบกลับมา

นางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "มีงูพิษอยู่ในพงหญ้า เจ้าซ่อนตัวอยู่ข้างใน ระวังจะถูกงูกัด!"

“งู?” เด็กชายตัวเล็กร้องเสียงหลงวิ่งออกมาทันที ใบหน้าของเด็กน้อยเปรอะไปด้วยขี้เถ้า เสื้อผ้าก็เลอะเทอะสกปรกเช่นกัน

มู่จือเหยี่ยนรู้สึกขบขันกับท่าทางของเด็กคนนี้

ในที่สุดเด็กชายก็ตั้งสติได้และถามกลับด้วยความโมโหว่า "เจ้าหลอกให้ข้าตกใจงั้นหรือ"

หลังจากที่มู่จื่อเหยี่ยนเห็นใบหน้าของเด็กชายอย่างชัดเจน นางก็ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม แม้ว่าเด็กชายจะสกปรกไปทั้งตัว แต่เขากลับแต่งกายอย่างหรูหรา ใบหน้าที่ชวนมอง ดวงตากลมโตคู่นั้น ราวกับมีประกายสะท้อนออกมา

ท่าทางที่กำลังโกรธนั้นดูน่ารักเอ็นดู

เมื่อมองดูลักษณะท่าทางของเขา เขาคล้ายกับหนานกงรุ่ยหยวนอย่างมาก เรียกว่าเป็นขนาดย่อส่วนของบุรุษคนนั้น

ลักษณะท่าทางเหมือนกับหยางหยางทุกประการ

มู่จือเหยี่ยนจำได้ว่าเด็กชายเป็นลูกของนางที่พลัดหายไปนาน มิหนำซ้ำเขาเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของหยางหยาง นางรู้สึกปวดหนึบในใจอย่างมาก

“ทำไมเจ้าถึงเอาแต่จ้องข้าตลอดเวลา” เด็กน้อยรู้สึกว่านางดูแปลกชอบกล แต่ในไม่ช้าเขาก็เข้าใจ “เจ้าคิดว่าข้าหน้าตาหล่อเหลามากใช่หรือไม่? ข้าเข้าใจ คนหล่ออย่างข้าคือ ในโลกจะมีสักกี่คนเชียว?"

พอได้ฟังประโยคที่เอาแต่ชื่นชมตัวเองจนจบ มู่จือเหยี่ยนรู้สึกว่าความทรมานซึ่งเกิดจากคิดถึงบุตรชายที่อัดอั้นอยู่ในใจลดน้อยลง

นางก้มหน้าแล้วยิ้ม เชยคางเขาขึ้นแล้วถามว่า "เจ้าพูดจาได้น่าตีนัก ใครสอนเจ้าพูด? อายุแค่นี้ก็รู้จักหยอกล้อสตรีแล้วหรือ? "

“ข้าพูดความจริงนะ ข้าหล่อและมีเสน่ห์มาก” เด็กชายตอบอย่างมั่นใจ

เด็กชายไม่รู้สึกว่าเขาพูดอะไรผิด

นางยังดูไม่ออกว่าเด็กน้อยหล่อเหลาหรือไม่ แต่เขาหน้าตาน่ารัก น่าเอ็นดูอย่างมาก

มู่จือเหยี่ยนถามด้วยรอยยิ้ม "ทำไมเจ้าถึงมาตรงพื้นที่รกร้างนอกชานเมืองคนเดียวล่ะ? เจ้าไม่กลัวว่าจะโดนบิดามารดาทำโทษหรือ หรือว่าเจ้าหลงทาง?"

“ข้าไม่ได้หลงทาง!” เด็กน้อยเชิดคางอย่างเย่อหยิ่ง ปั้นหน้าเคร่งขรึม “ข้ามาที่นี่เพราะข้าหนีออกจากบ้าน”

“เหตุใดเล่า? บิดาของเจ้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีหรือ” มู่จื่อเหยี่ยนถามด้วยสีหน้ากังวล

“เจ้ารู้เรื่องพ่อข้าได้อย่างไร?” เด็กชายจ้องมองนางอย่างระแวง

มู่จือเหยี่ยนโกหกโดยไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า "ข้าแค่เดาเฉย ๆ"

“เจ้าโกหก!” เด็กน้อยไม่แม้แต่จะไว้หน้าของมารดาบังเกิดเกล้า

ทันใดนั้น มีน้ำเสียงของเด็กชายที่นุ่มนวลดังออกมาจากรถม้า "ท่านแม่ ท่านกำลังคุยกับใครอยู่ด้านนอก?"

มู่จือเหยี่ยนและเด็กชายหันหน้าไปพร้อมกัน เห็นเด็กชายลงมาจากรถม้า เขาสวมเสื้อตัวยาวสีฟ้าอ่อน ด้านนอกสวมทับด้วยเสื้อคลุมกันลมตัวหนาที่ทำมาจากขนสัตว์ ในมือยังถือเตาอุ่นมือขนาดเล็ก

เขายังสวมหน้ากากที่แกะสลักอย่างปราณีต หน้ากากปกปิดแค่ครึ่งใบหน้า มองแล้วเหมือนเด็กชายอายุเพียงหกหรือเจ็ดขวบ

"หยางหยาง เหตุใดเจ้าจึงลงจากรถ?"มู่จื่อเหยี่ยนกังวลว่าเขาจะเป็นหวัด นางรีบปรี่ไปหาเขา แล้วกุมมือเล็ก ๆ นั้นไว้

ไม่นานนางก็นึกขึ้นได้ว่ามีเด็กอีกคน นางจึงหันกลับมามอง และโบกมือให้เด็กชาย

เด็กชายรู้สึกมีความผูกพันธ์กับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างแปลกประหลาด เขาเดินไปทิศที่หญิงสาวอยู่ และมองไปที่หยางหยางอย่างอยากรู้อยากเห็น

หยางหยางไม่แม้แต่จะสนใจเขา เขาทำปากยื่นออดอ้อน "ท่านแม่ อุ้มข้าหน่อย"

มู่จือเหยี่ยนอุ้มหยางหยางไว้ในอ้อมอก ถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า "ข้างนอกหนาวหรือไม่?"

"ไม่หนาว ที่ที่มีท่านแม่อยู่จะไม่หนาว" หยางหยางเอนตัวซบอกนาง สายตาจับจ้องไปที่เด็กชายซึ่งอยู่ไม่ไกล ถามอย่างสงสัย "ท่านแม่ เขาคือใคร?"

เห็นได้ชัดว่าหยางหยางมีร่างกายอ่อนแอกว่ามาก แต่พออีกฝ่ายตวัดสายตามองมาที่เขา เขากลับรู้สึกว่าที่หลังมีเหงื่อเย็นซึมออกมาทันที

อืม เขารู้สึกว่าหยางหยางน่ากลัวไปหน่อย

มู่จื่อเหยี่ยนไม่รู้จะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเด็กทั้งสองอย่างไร นางจึงอธิบายแบบง่าย ๆ ว่า "เป็นเด็กที่พบโดยบังเอิญในวันนี้ แม่ยังไม่รู้จักชื่อของเขาเลย"

บทก่อนหน้า
บทถัดไป